ยินดีต้อนรับสู่เพจวิชา HQ102
"เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการท่องเที่ยว"
คณะมนุษยศาสตร์
อธิบายหัวข้อเหล่านี้ เช่น คืออะไร
ทำงานอย่างไร องค์ประกอบ
1. เทคโนโลยีสารสนเทศ
2. อุตสาหกรรมท่องเที่ยว
3. CRS – Computer Reservation System
4. GDS – Global Distribution System
5. Cloud Computing
6. E-Tourism
7. Web blog
ทบทวนเนื้อหาสำหรับสอบกลางภาค
1. เทคโนโลยีสารสนเทศ
(Information Technology)…………… คือ การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสารสนเทศ
ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์ และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น
เทคโนโลยีสารสนเทศรวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ที่จะรวบรวม จัดเก็บ ใช้งาน
ส่งต่อ หรือสื่อสารระหว่างกัน ในระบบสารสนเทศนั้นประกอบด้วย 5 ส่วนหลักๆ ได้แก่ บุคลากร ขั้นตอนการทำงาน ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และข้อมูล
ปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของประชาชน
ทั้งด้านการติดต่อสื่อสาร การเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ การดำเนินธุรกิจ และอื่นๆ
อีกนับไม่ถ้วน
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) มาจากคำว่า “เทคโนโลยี” รวมกับคำว่า “สารสนเทศ”
“เทคโนโลยี” หมายถึง สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น
เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ เข่น อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรวัสดุ หรือ แม้กระทั่งสิ่งที่จับต้องไม่ได้
เช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ
เพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น “สารสนเทศ” หมายถึง ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข่าวสาร ความรู้ ที่ได้มีการบันทึก
ประมวลหรือดำเนินการด้วยวิธีใดๆไว้
และสามารถนำไปใช้ประโยชน์และเผยแพร่ทั้งส่วนบุคคลและสังคม ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ
หมายถึง การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสารสนเทศ
ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์ และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น
เทคโนโลยีสารสนเทศรวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ที่จะรวบรวม จัดเก็บ ใช้งาน
ส่งต่อ หรือสื่อสารระหว่างกัน
เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องมือเครื่องใช้ในการจัดการ สารสนเทศ
ซึ่งได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง ขั้นตอน วิธีการดำเนินการ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ เกี่ยวข้องกับตัวข้อมูล เกี่ยวข้องกับบุคลากร
เกี่ยวข้องกับกรรมวิธีการดำเนินงานเพื่อให้ข้อมูลเกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้แล้วยังรวมไปถึง โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ โทรสาร หนังสือพิมพ์
นิตยสารต่างๆ ฯลฯ
2. อุตสาหกรรมท่องเที่ยว...............คำว่า “อุตสาหกรรม” ตามพจนานุกรม คือ “การกระทำสิ่งใด ๆ เพื่อให้เป็นสินค้า” แต่ปัจจุบันมีความหมายมากกว่านั้น
คือ ” กิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่างมีระบบการพาณิชย์
หรือการผลิตสาขาใดสาขาหนึ่ง”
การท่องเที่ยว ก็คือ
การดำเนินกิจกรรมบริการด้านการนำเที่ยว
เช่น บริการด้านการเดินทาง บริการด้านอาหารและการพักแรม และบริการด้านการนำเที่ยว ซึ่งดำเนินการโดยหวังผลกำไร ที่ต้องอาศัยแรงงานและการลงทุนสูง โดยใช้เทคนิควิชาการเฉพาะ มีการวางแผน
การจัดองค์การ และการตลาด ครอบคลุมธุรกิจหลายประเภท
ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรงและโดยอ้อม
อุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Tourism Industry) ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจหลายประเภท
ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางอ้อม
หรือธุรกิจสนับสนุนต่าง ๆ การซื้อบริการของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ
ถือได้ว่าเป็น การส่งสินค้าออกที่มองไม่เห็นด้วยสายตา (Invisible Export) เพราะเป็นการซื้อด้วยเงินตราต่างประเทศ การผลิต สินค้า คือ บริการต่าง ๆ
ที่นักท่องเที่ยวซื้อก็จะต้องมีการลงทุน ซึ่งผล
ประโยชน์จะตกอยู่ในประเทศและจะช่วยให้เกิด งานอาชีพอีกหลายแขนง
เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ทางด้านสังคมการท่องเที่ยวเป็นการพักผ่อนคลาย ความตึงเครียด พร้อม
กับการได้รับความรู้ ความเข้าใจในวัฒนธรรมที่ผิดแผกแตกต่างออกไปอีกครั้ง
อุตสาหกรรม ท่องเที่ยวเป็นแหล่งที่มาของรายได้ในรูปเงินตราต่างประเทศ
ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับดุลการชำระเงินได้ เป็นอย่างมาก นอกจากนี้
การท่องเที่ยวยังมีบาทบาทช่วยกระตุ้นให้มีการนำเอาทรัพยากรของประเทศมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง
ที่ผู้อยู่ในท้องถิ่นได้เก็บมาประดิษฐ์เป็นหัตถกรรมพื้นบ้าน ขายเป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว
ซึ่งสรุปได้ว่าบทบาทและความสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3. CRS – Computer
Reservation System...............ระบบสำรองที่นั่งของการบินไทย
เดิมการบินไทยมีระบบสำรองที่นั่งของตนเอง คือระบบรอยัล (Royal System) โดยในระยะแรก
ผู้โดยสารที่ต้องการสำรองที่นั่งต้องติดต่อโดยตรงกับการบินไทย
ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนแผนทางการตลาดทำให้เกิดตัวแทนจำหน่าย (Travel
Agent) ขึ้น ซึ่งตัวแทนจำหน่ายตั๋วได้เข้ามามีบทบาทและมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อที่นั่งของสายการบินมากขึ้น
จากการสำรวจสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า
การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายมียอดสูงถึงร้อยละ 80
ดังนั้นการบินไทยจึงได้ติดตั้งระบบรอยัลให้กับตัวแทนจำหน่าย (Travel Agetn)
ในประเทศและประเทศใกล้เคียง ซึ่งการใช้ระบบรอยัลนี้ ทั้งการบินไทย (สำนักงานขายบัตรโดยสาร
และสำรองที่นั่ง) และตัวแทนจำหน่ายจะขายได้เฉพาะที่นั่งของเที่ยวการบินไทยเท่านั้น
อีกทั้งการขยายเครือข่ายก็เป็นไปได้อย่างจำกัดเนื่องจากมีต้นทุนการพัฒนา
และเชื่อมโยงระบบสูง การบินไทยจึงได้ตัดสินใจ
เข่าร่วมพันธมิตรกับระบบสำรองที่นั่งผ่านคอมพิวเตอร์ ( Computerize
Reservation System: CRS) ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในภาคพื้นยุโรป
คือระบบอะมาดิอุส (Amadeus) ซึ่งมีสายการบินลุฟท์ฮันซ่า
แอร์ฟรานซ์ ไอบีเรียและเอสเอเอส เป็นแกนนำในการจัดตั้ง โดยได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2533 ให้พันธมิตร
และร่วมลงทุนในบริษัทการตลาดอะมาดิอุสประจำประเทศไทย (Amadeus Thailand) ซึ่งสามารถดำเนินการในลักษณะเป็นเอกเทศเพิ่มความคล่องตัว
และขีดความสามารถ
โดยได้สิทธิในการจัดจำหน่ายในประเทศไทย อินโดจีน และพม่า
ปัจจุบันการสำรองที่นั่งของการบินไทยทำโดยผ่านทางสำนักงานขายของการบินไทย
และผ่านทางตัวแทนจำหน่าย (Travel Agent) กว่าแสนรายทั่วโลก
โดยมีสัดส่วนจากการขายผ่านสำนักงานขายของการบินไทยเอง คิดเป็นร้อยละ 40
ในขณะที่การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายคิดเป็นร้อยละ 60 สำหรับ
ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย
ขณะนี้สามารถสำรองที่นั่งของเที่ยวบินการบินไทยโดยผ่านระบบ CRS คือ ระบบอะมาดิอุส (Amadeus) ที่การบินไทยเป็นผู้จัดจำหน่าย
อีกทั้งเป็นระบบที่สำนักงานขายของการบินไทยทั่วโลกใช้ ส่วนตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกสามารถสำรองที่นั่งการบินไทยผ่านระบบ
CRS เกือบทุกระบบ
ทั้งนี้การสำรองที่นั่งผ่านตัวแทนจำหน่าย
นับวันจะมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (The International Air Transport Association : IATA) และสายการบินต่าง ๆ
ในประเทศไทยได้พยายามผลักดันงานด้านสำรองที่นั่ง
และออกบัตรโดยสารให้ดำเนินการโดยตัวแทนจำหน่ายให้มากขึ้น
ระบบสำรองที่นั่งผ่านคอมพิวเตอร์ (Computerize Reservation System: CRS) เกิดจากกลุ่มสายการบินและกลุ่มร่วมกันพัฒนา
เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในด้านการจัดจำหน่ายอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเป็นการกระจายการขายไปยังตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก
ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันทำให้ CRS แต่ระบบเพิ่มผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ นอกเหนือจากการสำรองที่นั่งสายการบิน อาทิ การจองห้องพักโรงแรม รถเช่า
การจองที่นั่งรถไฟ ฯลฯ ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า การสำรองที่นั่งแบบเบ็ดเสร็จ (Global
Distribution System: GDS)
ปัจจุบันทั่วโลกมีระบบสำรองที่นั่งผ่านคอมพิวเตอร์
(CRS) ที่สำคัญดังนี้
1.
ระบบเซเบอร์ (Sabre) ก่อตั้งโดยสารการบินอเมริกัน
แอร์ไลน์ส
2.
ระบบอะมาดิอุส (Amadeus) ก่อตั้งโดยสายการบิน
แอร์ฟรานซ์ ลุฟท์ฮันซ่า ไอบีเรีย และเอสเอเอส
3.
ระบบอาบาคัส (Abacus) ก่อตั้งโดยสายการบินในเอเซีย
คือ สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค สิงค์โปร์ แอร์ไลน์ส และมาเลเซีย แอร์ไลน์ส
4.
ระบบเวริ์ลสแปน (World Span) ก่อตั้งโดยสายการบิน
เดลต้า แอร์ไลน์ นอร์ธเวสต์ และทรานสเวริ์ล แอร์ไลน์ส
5.
ระบบกาลิเลโอ (Galileo) ก่อตั้งโดยสายการบิน
บริติชแอร์เวย์ และ ยูไนเต็ดแอร์ไลน์
6.
ระบบโทปาส (Tapaz) ก่อตั้งโดยรัฐบาลเกาหลี
7.
ระบบแอกเซส (Axess) ก่อตั้งโดยสายการบิน
เจแปน แอร์ไลน์ส
8.
ระบบอินฟินี (Infini) ก่อตั้งโดยสายการบิน
ออลนิปปอน แอร์เวย์
4. GDS – Global
Distribution System…………..ระบบ Global Distribution System (GDS) นี้เดิมทีพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายตั๋วเครื่องบินของสาย
การบินพาณิชย์ทั่วโลก แล้วต่อมามีการพัฒนาระบบมารองรับการจองห้องพักโรงแรม
ตลอดจนสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยวอื่นๆ สำหรับ Travel Agent ด้วย
การ ใช้ช่องทาง GDS ในการจัดจำหน่ายห้องพักโรงแรมนั้น
โรงแรมต้องติดต่อกับผู้ให้บริการช่องทางจัดจำหน่าย (Channel Provider) ที่จะเป็นคนกลางในการจัดสร้างฐานข้อมูลและรายละเอียดของโรงแรมต่างๆ
ใส่ในระบบของตนเอง
แล้วทำการเชื่อมต่อข้อมูลไปสู่ผู้ให้บริการระบบจัดจำหน่ายที่ให้บริการกับ Travel
Agents ต่างๆ อยู่ เพื่อทำการจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าต่อไป
การใช้บริการช่องทางจัดจำหน่ายของ GDS นี้นั้น มีค่าใช้จ่ายต่างๆ หลายระดับดังต่อไปนี้
1. ค่า Channel
Fee สำหรับ Channel Provider หรือ Distributor
ของเชนโรงแรมต่างๆ
ที่ปกติจะเก็บค่าธรรมเนียมเป็นเปอร์เซนต์จากยอดขาย (ประมาณ 5-8%)
2. ค่า Transaction
Fee เสียให้กับ System Provider ที่เป็นผู้จัดทำระบบมาให้ใช้
ที่ปกติจะเสียค่าบริการเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนต่อ 1
รายการจอง โดยไม่คำนึงว่าระยะการจองจะสั้นหรือยาว (ประมาณ 3-5 US$ ต่อ 1 Booking)
3. ค่า Commission
สำหรับ Travel Agents หรือ Travel
Consultant ที่เป็นผู้ทำการจองห้องพักโรงแรมให้กับลูกค้า
ที่เป็นธรรมเนียมว่าจะเรียกเก็บค่าบริการจำนวน 10% จากยอดการจองแต่ละรายการ
(Travel Agents หรือ Travel Consultants เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัททัวร์ หรือบริษัทท่องเที่ยว
อาจจะเป็นแผนกหนึ่งของบริษัทใหญ่ๆ ที่ได้มีการติดตั้งเครื่องสำหรับรับจอง (Terminal)
หลักการทำงาน
1. โรงแรมจัดทำโครงสร้างราคาขายห้องพักของตนเองที่แบ่งเป็น
Rate Tier ของ Market Segment ต่างๆ
ที่ราคาขายสุทธิจะแตกต่างกันไป ใส่เข้าไปในระบบของ Channel Provider ที่ได้ทำการสัญญาตกลงกันไว้ (ต้องใส่ให้ถูก Rate Tier เพราะ ถ้าใส่ผิด ทางโรงแรมต้องเป็นผู้รับผิดชอบ) และตั้งค่ากำหนด
และเงื่อนไขต่างๆ ในการขาย พร้อมทั้งใส่ Allotment ห้องพักแต่ละชนิด
ที่เปิดขาย
2. Channel Provider ทำการเชื่อมต่อระบบไปกับระบบ
GDS สำหรับการรับจองห้องพัก ทุกระบบที่ให้บริการ (บางระบบ
มีให้บริการในบางภูมิภาคเท่านั้น)
3. Travel Agents หรือ Travel
Consultant ที่ใช้บริการเครื่อง Terminal ของระบบรับจองเหล่านี้
ให้บริการรับจองห้องพักให้แก่ลูกค้าของตนเอง
4. ลูกค้าผู้ใช้บริการจองห้องพัก
ให้ข้อมูลรายละเอียดบัตรเครดิตของตนเองแก่ Travel Agents หรือ
Travel Consultants เพื่อใช้ในการ Guarantee การจองห้องพัก โดยพนักงานผู้รับจองจะป้อนข้อมูลต่างๆ เข้าระบบ แล้วทำการจองและออกใบยืนยันการจองห้องพักตามที่ระบบ
GDS มี Allotment อยู่ให้กับลูกค้าได้ในทันที
โดยราคาขายนั้นเป็นราคาเดียวกันกับที่ทางโรงแรมกำหนด และป้อนเข้าสู่ระบบ
5. โรงแรมเก็บเงินจากบัตรเครดิตลูกค้าโดยตรงตามราคาที่ลูกค้าจองไว้
6. เมื่อครบกำหนดตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้
ทางโรงแรมต้องทำการชำระเงินค่าบริการให้แก่ Channel Provider, GDS System
Provider และ Travel Agents หรือ Travel
Consultant ตามยอดการเข้าพักจริงของลูกค้า (ในบางราย
แม้ลูกค้าจะไม่ได้เข้าพัก แต่ทางโรงแรมก็ต้องจ่ายค่าบริการ Transaction Fee
ให้กับ Channel Provider และ System
Provider แต่ทาง Travel Agents หรือ Travel
Consultant อาจจะไม่ได้รับ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดในสัญญาที่ตกลงกันไว้)
จะ เห็นได้ว่า
การจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง GDS นั้น
เป็นช่องทางการจำหน่ายไปยังกลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้บริการห้องพักโดยตรง
และครอบคลุมตลาดทั่วโลก
แต่การจัดจำหน่ายแบบนี้ก็มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงและไม่คุ้มค่า
ถ้าโรงแรมนั้นเป็นโรงแรมในเมืองที่ราคาค่าห้องพัก ไม่สูงนัก และ Length of
Stay (LOS) ต่อ 1 รายการจองต่ำ
แต่จะมีต้นทุนที่ต่ำและมีความคุ้มค่าสูง ถ้าเป็นการจองห้องพักของรีสอร์ทที่อัตราค่าห้องพักต่อคืนสูง
และ LOS ของแต่ละรายการจองที่ค่อนข้างยาว
5. Cloud Computing...............คือวิธีการประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้
โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบCloud Computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้อง
การผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากร
รวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา
โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่าการทำงานหรือเหตุการณ์เบื้องหลังเป็น Cloud หรือบางคนก็บอกว่า
Cloud Computing มันคืออะไร ค้นในเน็ตเจอคำแปลต่างๆ มากมาย
ส่วนใหญ่บอกว่า การประมวลผลบนก้อนเมฆ… ถ้าสำหรับแบบที่ผมคิดนะ
ผมว่าก็คือระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เรานี่แหละ แต่แทนที่จะต้องมาประมวลผล
หรือทำงานแบบเดิมคือทำบน PC แบบที่เราเคยใช้ๆกันอยู่มันจะย้ายไปทำงานผ่านพวก
WEB Browser บนโลกอินเตอร์เน็ต อาทิเช่น เดิม เราใช้ Microsoft Word, Excel, Power Point โดยเราต้องเปิด
PC แล้วรอมัน Windows มันบู๊ต
แล้วเราก็เลือกไอคอน โปรแกรม แล้วก็คลิ๊กเปิด แล้วก็ใช้งาน แต่ถ้าเป็น Cloud Computing หรือ Cloud Service คือเราเข้าอินเตอร์เน็ตให้ได้
และเราก็จะใช้งานโปรแกรมอะไรก็ตามแต่ ผู้ให้บริการบนโลกอินเตอร์เน็ต
เขาก็จะเตรียมไว้ให้เราแล้ว (แต่ถ้าเข้าอินเตอรเน็ตไม่ได้…ก็เกิดเรื่องกันละทีนี้) เอาให้ง่ายเข้าไปอีก
ลองคิดถึงแต่ก่อนเราอาจจะต้องใช้ Outlook หรือ Lotus Note ในการทำงานเพื่อเปิดเครือ่งเพื่อรับเมล์
เดี๋ยวนี้เราจะเห็น มี Google, Hotmail หรือ Yahoo ให้เราสามารถเช็คเมล์ได้ โดยเฉพาะ Google พี่ท่านกะล็อกทุกอย่าง
หรือครองโลกออนไลน์เลยก็ว่าได้ เดี๋ยวถ้าเรามี Domain
แล้วไม่ต้องการมี
Server หรือตั้งระบบ Mail
Server เราสามารถไปเช่าใช้บริการผูกเมล์เราเข้ากับระบบ Gmail ของ Google ได้อีกต่างหาก
Cloud Computing
อีกหน่อย
ในความคิดผมนะ เครื่อง PC หรือ Notebook ต่อไปเปิดมา อาจจะไม่ต้องเปิดผ่าน Windows เลยก็เป็นไปได้ คือเปิดขึ้นมากลายเป็น WEB OS เลย ก็คือแบบเปิดปุ๊บ เข้าอินเตอร์เน็ตทันที
อยากใช้โปรแกรมอะไรก็แค่ เรียก หรือเปิดใช้บริการเอา อาจจะมีทั้งแบบฟรี
หรือเสียเงินก็ว่ากันไป และแนวโน้มก็ค่อนข้างจะไปทางนั้นแหละผมว่า
เพราะเดี๋ยวนี้เราเริ่มมีอุปกรณ์พวก tablet หรือ มือถือ
ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าระบบอินเตอร์เน็ตได้แบบทันทีที่เปิดเครื่อง
และแนวโน้มของคนที่จะใช้ tablet นั้น
ผมขอเดาว่าอีกไม่นาน 1-2 ปีนี้
จะมีปริมาณที่มากกว่า PC หรือ Notebook กว่าในอดีตมาก
โดยเฉพาะอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ที่จะโตไวมาก เพราะมันชัดแล้วว่า
เทคโนโลยีจะไวขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และราคาก็จะถูกลงเรื่อยๆ ทำให้
สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้ทุกเพศ ทุกวัย
อันนี้ก็คือวีดีโอที่พอดีไปค้นเจอมา
โดยรายงานพิเศษจากรายการแบไต๋ไฮเทคที่สามารถจะอธิบายเรื่องของคำศัพท์แห่งยุค Cloud Computing ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างชัดเจน
ใครที่สนใจเทคโนโลยี server สมัยใหม่ต้องดู
อธิบายแบบไทยๆ ให้ดูเข้าใจง่าย (ขอบคุณ วีดีโอจากรายการ แบไต๋ไฮเทค ด้วยนะครับ)
ประโยชน์ของ cloud computing
-มีความคล่องตัว
ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลจาก Server ได้ตามต้องการ
มีความยืดหยุ่น
สามารถขยายหรือลดโครงสร้างพื้นฐานได้สะดวกและง่ายต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง
-Reduction in costs: มีต้นทุนที่ลดลงเนื่องจากผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้ง
Server ขนาดใหญ่ด้วยตนเอง
ลดภาระต้นทุนเกี่ยวกับการติดตั้งและบำรุงรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ประมวลผลขนาดใหญ่
-Freedom of Location : มีอิสระจากอุปกรณ์ และสถานที่
เพราะผู้ใช้สามารถเรียกดูข้อมูลได้จากทุกแห่งทั่วโลกที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้
-Scalability and speed : การขยายตัวเป็นแบบ (Scalability) สูง
สามารถเข้าถึงแพลทฟอร์มที่หลากหลายและความสามารถในการทำงานร่วมกับแพลทฟอร์มที่ยึดหยุ่นและมีศักยภาพด้วยโครงสร้างที่หลากหลาย
-มีความไว้วางใจ
(Reliability) สูงขึ้น
-มีความปลอดภัย
(Security) สูง เนื่องจากทุกๆ
โปรแกรมและไฟล์ทั้งหมดจะถูกเก็บอยู่ใน Supercomputer ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่หรือจัดเก็บอยู่ใน
Network ความเร็วสูง
-มีความยั่งยืน
(Sustainability) ซึ่งได้จากการใช้ทรัพยากรที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ
-Reduce run time and response time :
เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลของโปรแกรมประยุกต์
ทำให้โปรแกรมที่มีการคำนวณและประมวลผลที่ยุ่งยากและซับซ้อนสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น
-Enabling Innovation: ได้รับบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่เสมอ
-Ease of Use: ใช้งานง่าย
โดยเปรียบเหมือนเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
6. E-Tourism………….คือการใช้ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีในการท่องเที่ยวเพื่อช่วยให้การท่องเที่ยวเป็นเรื่องง่าย ในปัจจุบัน E-Tourism
ไม่ใช่เรื่องแปลกในระดับโลกอีกต่อไปเพราะธุรกิจท่องเที่ยว
บริษัททัวร์ต่างๆที่เป็นบริษัทระดับยักษ์ใหญ่ของโลกนั้นต่างใช้ E-Tourism ในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ได้ฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและทำให้การบริการด้านการท่องเที่ยวเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลกโดยผ่านอินเตอร์เน็ตออนไลน์
การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตได้ปฏิวัติวิถีการท่องเที่ยวแบบโบราณ โดยเฉพาะ การสืบค้นข้อมูล
ข้อหาสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมชั่น รวมถึงวางแผนการเดินทางล่วงหน้า
ให้ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ และยังสร้างสรรค์โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
ให้กับผู้ประกอบการได้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดมากขึ้น
แต่สำหรับประเทศไทยนั้น E-Tourism ยังคงเป็นเรื่องแปลกใหม่เพราะผู้ประกอบการและบริษัททัวร์ส่วนใหญ่ในไทยนั้น
ยังคงขาดความรู้และความเข้าใจในการใช้อินเตอร์เน็ตในการให้บริการด้านการท่องเที่ยวอยู่มาก
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกรวม 1,000
ล้านคน และ 80% ของคนจำนวนนี้ ใช้อินเตอร์เน็ตในการหาข้อมูลด้านการท่องเที่ยว อาทิ
แหล่งท่องเที่ยว โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และบริการด้านการท่องเที่ยวอื่นๆ ตลอดจน
การใช้บริการจองผ่านอินเทอร์เน็ต ด้วยระบบ E-Commerce ก็ตาม
ซึ่งส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร
7. Web blog…………คือ Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We
Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์
โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง
เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น
โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก
จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง
จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน
บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ
หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า
Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น
เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท
ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่
หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ
เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้
หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย
ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด
หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง
ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก
และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment
ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม
คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า
แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก
หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์
นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา
Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ
แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี
2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง
ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง
เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติและจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ ,
โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์
ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ใช้อย่างไร
1.หาเว็บที่ให้สามารถให้เช่า blog ได้
2.สมักรเป็นสมาชิกของเว็บนั้น
3.เมื่อเราเป็นสมาชิกแล้วก็สามารตกแต่ง blog ของเราได้
สรุป
เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกให้แก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ในรูปแบบออนไลน์ผ่านเครือข่ายสร้างเป็น e-Tourism ซึ่งสามารถเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวใช้สื่อออนไลน์
ทำธุรกรรมผ่านอินเตอร์เน็ต บนอุปกรณ์ที่หลากหลาย ได้แก่ คอมพิวเตอร์
เครื่องมือสื่อสาร iPhone iPads หรือตู้ Self Service
ในสถานที่ ทั้งนี้ทำให้ประหยัดเวลา
และค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ใช้บริการ และลดต้นทุนของผู้ประกอบการ
อีกทั้งช่วยเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ผ่านสื่อต่างๆ เช่น Facebook หรือ Twitter นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถใช้ Web
Blog เพื่อเผยแพร่ข้อมูล สร้างสรรค์ข้อมูล
ที่มีประโยชน์ต่อผู้ชมเว็บ ให้รับรู้ข่าวสาร
และข้อเท็จจริงเรื่องการท่องเที่ยวนอกเหนือจากที่ได้รับการเผยแพร่โดยองค์กรหรือบริษัทผู้ประกอบการอีกด้วย
โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้บริการผ่านระบบเครือข่าย Cloud Computing ที่มีให้บริการ SaaS พวกโปรแกรมสำหรับสร้างเว็บบล็อก
ไม่ว่าจะเป็น Blogger เป็นต้น Cloud Computing ยังมีประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้
CRS ในการตรวจสอบ และจองห้องพัก หรือระบบ GDS เพื่อตรวจสอบเที่ยวบิน สถานะเที่ยวบิน และจองตั๋วเดินทาง โดยเชื่อมโยงข้อมูลผ่านเครือข่ายได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
อธิบายหัวข้อเหล่านี้ เช่น คืออะไร
ทำงานอย่างไร องค์ประกอบ
1. เทคโนโลยีสารสนเทศ
2. อุตสาหกรรมท่องเที่ยว
3. CRS – Computer Reservation System
4. GDS – Global Distribution System
5. Cloud Computing
6. E-Tourism
7. Web blog
ทบทวนเนื้อหาสำหรับสอบกลางภาค
1. เทคโนโลยีสารสนเทศ
(Information Technology)…………… คือ การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสารสนเทศ
ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์ และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น
เทคโนโลยีสารสนเทศรวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ที่จะรวบรวม จัดเก็บ ใช้งาน
ส่งต่อ หรือสื่อสารระหว่างกัน ในระบบสารสนเทศนั้นประกอบด้วย 5 ส่วนหลักๆ ได้แก่ บุคลากร ขั้นตอนการทำงาน ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และข้อมูล
ปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของประชาชน
ทั้งด้านการติดต่อสื่อสาร การเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ การดำเนินธุรกิจ และอื่นๆ
อีกนับไม่ถ้วน
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) มาจากคำว่า “เทคโนโลยี” รวมกับคำว่า “สารสนเทศ”
“เทคโนโลยี” หมายถึง สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น
เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ เข่น อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรวัสดุ หรือ แม้กระทั่งสิ่งที่จับต้องไม่ได้
เช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ
เพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น “สารสนเทศ” หมายถึง ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข่าวสาร ความรู้ ที่ได้มีการบันทึก
ประมวลหรือดำเนินการด้วยวิธีใดๆไว้
และสามารถนำไปใช้ประโยชน์และเผยแพร่ทั้งส่วนบุคคลและสังคม ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ
หมายถึง การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสารสนเทศ
ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์ และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น
เทคโนโลยีสารสนเทศรวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ที่จะรวบรวม จัดเก็บ ใช้งาน
ส่งต่อ หรือสื่อสารระหว่างกัน
เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องมือเครื่องใช้ในการจัดการ สารสนเทศ
ซึ่งได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง ขั้นตอน วิธีการดำเนินการ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ เกี่ยวข้องกับตัวข้อมูล เกี่ยวข้องกับบุคลากร
เกี่ยวข้องกับกรรมวิธีการดำเนินงานเพื่อให้ข้อมูลเกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้แล้วยังรวมไปถึง โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ โทรสาร หนังสือพิมพ์
นิตยสารต่างๆ ฯลฯ
2. อุตสาหกรรมท่องเที่ยว...............คำว่า “อุตสาหกรรม” ตามพจนานุกรม คือ “การกระทำสิ่งใด ๆ เพื่อให้เป็นสินค้า” แต่ปัจจุบันมีความหมายมากกว่านั้น
คือ ” กิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่างมีระบบการพาณิชย์
หรือการผลิตสาขาใดสาขาหนึ่ง”
การท่องเที่ยว ก็คือ
การดำเนินกิจกรรมบริการด้านการนำเที่ยว
เช่น บริการด้านการเดินทาง บริการด้านอาหารและการพักแรม และบริการด้านการนำเที่ยว ซึ่งดำเนินการโดยหวังผลกำไร ที่ต้องอาศัยแรงงานและการลงทุนสูง โดยใช้เทคนิควิชาการเฉพาะ มีการวางแผน
การจัดองค์การ และการตลาด ครอบคลุมธุรกิจหลายประเภท
ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรงและโดยอ้อม
อุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Tourism Industry) ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจหลายประเภท
ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางอ้อม
หรือธุรกิจสนับสนุนต่าง ๆ การซื้อบริการของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ
ถือได้ว่าเป็น การส่งสินค้าออกที่มองไม่เห็นด้วยสายตา (Invisible Export) เพราะเป็นการซื้อด้วยเงินตราต่างประเทศ การผลิต สินค้า คือ บริการต่าง ๆ
ที่นักท่องเที่ยวซื้อก็จะต้องมีการลงทุน ซึ่งผล
ประโยชน์จะตกอยู่ในประเทศและจะช่วยให้เกิด งานอาชีพอีกหลายแขนง
เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ทางด้านสังคมการท่องเที่ยวเป็นการพักผ่อนคลาย ความตึงเครียด พร้อม
กับการได้รับความรู้ ความเข้าใจในวัฒนธรรมที่ผิดแผกแตกต่างออกไปอีกครั้ง
อุตสาหกรรม ท่องเที่ยวเป็นแหล่งที่มาของรายได้ในรูปเงินตราต่างประเทศ
ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับดุลการชำระเงินได้ เป็นอย่างมาก นอกจากนี้
การท่องเที่ยวยังมีบาทบาทช่วยกระตุ้นให้มีการนำเอาทรัพยากรของประเทศมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง
ที่ผู้อยู่ในท้องถิ่นได้เก็บมาประดิษฐ์เป็นหัตถกรรมพื้นบ้าน ขายเป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว
ซึ่งสรุปได้ว่าบทบาทและความสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3. CRS – Computer
Reservation System...............ระบบสำรองที่นั่งของการบินไทย
เดิมการบินไทยมีระบบสำรองที่นั่งของตนเอง คือระบบรอยัล (Royal System) โดยในระยะแรก
ผู้โดยสารที่ต้องการสำรองที่นั่งต้องติดต่อโดยตรงกับการบินไทย
ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนแผนทางการตลาดทำให้เกิดตัวแทนจำหน่าย (Travel
Agent) ขึ้น ซึ่งตัวแทนจำหน่ายตั๋วได้เข้ามามีบทบาทและมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อที่นั่งของสายการบินมากขึ้น
จากการสำรวจสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า
การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายมียอดสูงถึงร้อยละ 80
ดังนั้นการบินไทยจึงได้ติดตั้งระบบรอยัลให้กับตัวแทนจำหน่าย (Travel Agetn)
ในประเทศและประเทศใกล้เคียง ซึ่งการใช้ระบบรอยัลนี้ ทั้งการบินไทย (สำนักงานขายบัตรโดยสาร
และสำรองที่นั่ง) และตัวแทนจำหน่ายจะขายได้เฉพาะที่นั่งของเที่ยวการบินไทยเท่านั้น
อีกทั้งการขยายเครือข่ายก็เป็นไปได้อย่างจำกัดเนื่องจากมีต้นทุนการพัฒนา
และเชื่อมโยงระบบสูง การบินไทยจึงได้ตัดสินใจ
เข่าร่วมพันธมิตรกับระบบสำรองที่นั่งผ่านคอมพิวเตอร์ ( Computerize
Reservation System: CRS) ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในภาคพื้นยุโรป
คือระบบอะมาดิอุส (Amadeus) ซึ่งมีสายการบินลุฟท์ฮันซ่า
แอร์ฟรานซ์ ไอบีเรียและเอสเอเอส เป็นแกนนำในการจัดตั้ง โดยได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2533 ให้พันธมิตร
และร่วมลงทุนในบริษัทการตลาดอะมาดิอุสประจำประเทศไทย (Amadeus Thailand) ซึ่งสามารถดำเนินการในลักษณะเป็นเอกเทศเพิ่มความคล่องตัว
และขีดความสามารถ
โดยได้สิทธิในการจัดจำหน่ายในประเทศไทย อินโดจีน และพม่า
ปัจจุบันการสำรองที่นั่งของการบินไทยทำโดยผ่านทางสำนักงานขายของการบินไทย
และผ่านทางตัวแทนจำหน่าย (Travel Agent) กว่าแสนรายทั่วโลก
โดยมีสัดส่วนจากการขายผ่านสำนักงานขายของการบินไทยเอง คิดเป็นร้อยละ 40
ในขณะที่การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายคิดเป็นร้อยละ 60 สำหรับ
ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย
ขณะนี้สามารถสำรองที่นั่งของเที่ยวบินการบินไทยโดยผ่านระบบ CRS คือ ระบบอะมาดิอุส (Amadeus) ที่การบินไทยเป็นผู้จัดจำหน่าย
อีกทั้งเป็นระบบที่สำนักงานขายของการบินไทยทั่วโลกใช้ ส่วนตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกสามารถสำรองที่นั่งการบินไทยผ่านระบบ
CRS เกือบทุกระบบ
ทั้งนี้การสำรองที่นั่งผ่านตัวแทนจำหน่าย
นับวันจะมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (The International Air Transport Association : IATA) และสายการบินต่าง ๆ
ในประเทศไทยได้พยายามผลักดันงานด้านสำรองที่นั่ง
และออกบัตรโดยสารให้ดำเนินการโดยตัวแทนจำหน่ายให้มากขึ้น
ระบบสำรองที่นั่งผ่านคอมพิวเตอร์ (Computerize Reservation System: CRS) เกิดจากกลุ่มสายการบินและกลุ่มร่วมกันพัฒนา
เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในด้านการจัดจำหน่ายอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเป็นการกระจายการขายไปยังตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก
ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันทำให้ CRS แต่ระบบเพิ่มผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ นอกเหนือจากการสำรองที่นั่งสายการบิน อาทิ การจองห้องพักโรงแรม รถเช่า
การจองที่นั่งรถไฟ ฯลฯ ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า การสำรองที่นั่งแบบเบ็ดเสร็จ (Global
Distribution System: GDS)
ปัจจุบันทั่วโลกมีระบบสำรองที่นั่งผ่านคอมพิวเตอร์
(CRS) ที่สำคัญดังนี้
1.
ระบบเซเบอร์ (Sabre) ก่อตั้งโดยสารการบินอเมริกัน
แอร์ไลน์ส
2.
ระบบอะมาดิอุส (Amadeus) ก่อตั้งโดยสายการบิน
แอร์ฟรานซ์ ลุฟท์ฮันซ่า ไอบีเรีย และเอสเอเอส
3.
ระบบอาบาคัส (Abacus) ก่อตั้งโดยสายการบินในเอเซีย
คือ สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค สิงค์โปร์ แอร์ไลน์ส และมาเลเซีย แอร์ไลน์ส
4.
ระบบเวริ์ลสแปน (World Span) ก่อตั้งโดยสายการบิน
เดลต้า แอร์ไลน์ นอร์ธเวสต์ และทรานสเวริ์ล แอร์ไลน์ส
5.
ระบบกาลิเลโอ (Galileo) ก่อตั้งโดยสายการบิน
บริติชแอร์เวย์ และ ยูไนเต็ดแอร์ไลน์
6.
ระบบโทปาส (Tapaz) ก่อตั้งโดยรัฐบาลเกาหลี
7.
ระบบแอกเซส (Axess) ก่อตั้งโดยสายการบิน
เจแปน แอร์ไลน์ส
8.
ระบบอินฟินี (Infini) ก่อตั้งโดยสายการบิน
ออลนิปปอน แอร์เวย์
4. GDS – Global
Distribution System…………..ระบบ Global Distribution System (GDS) นี้เดิมทีพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายตั๋วเครื่องบินของสาย
การบินพาณิชย์ทั่วโลก แล้วต่อมามีการพัฒนาระบบมารองรับการจองห้องพักโรงแรม
ตลอดจนสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยวอื่นๆ สำหรับ Travel Agent ด้วย
การ ใช้ช่องทาง GDS ในการจัดจำหน่ายห้องพักโรงแรมนั้น
โรงแรมต้องติดต่อกับผู้ให้บริการช่องทางจัดจำหน่าย (Channel Provider) ที่จะเป็นคนกลางในการจัดสร้างฐานข้อมูลและรายละเอียดของโรงแรมต่างๆ
ใส่ในระบบของตนเอง
แล้วทำการเชื่อมต่อข้อมูลไปสู่ผู้ให้บริการระบบจัดจำหน่ายที่ให้บริการกับ Travel
Agents ต่างๆ อยู่ เพื่อทำการจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าต่อไป
การใช้บริการช่องทางจัดจำหน่ายของ GDS นี้นั้น มีค่าใช้จ่ายต่างๆ หลายระดับดังต่อไปนี้
1. ค่า Channel
Fee สำหรับ Channel Provider หรือ Distributor
ของเชนโรงแรมต่างๆ
ที่ปกติจะเก็บค่าธรรมเนียมเป็นเปอร์เซนต์จากยอดขาย (ประมาณ 5-8%)
2. ค่า Transaction
Fee เสียให้กับ System Provider ที่เป็นผู้จัดทำระบบมาให้ใช้
ที่ปกติจะเสียค่าบริการเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนต่อ 1
รายการจอง โดยไม่คำนึงว่าระยะการจองจะสั้นหรือยาว (ประมาณ 3-5 US$ ต่อ 1 Booking)
3. ค่า Commission
สำหรับ Travel Agents หรือ Travel
Consultant ที่เป็นผู้ทำการจองห้องพักโรงแรมให้กับลูกค้า
ที่เป็นธรรมเนียมว่าจะเรียกเก็บค่าบริการจำนวน 10% จากยอดการจองแต่ละรายการ
(Travel Agents หรือ Travel Consultants เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัททัวร์ หรือบริษัทท่องเที่ยว
อาจจะเป็นแผนกหนึ่งของบริษัทใหญ่ๆ ที่ได้มีการติดตั้งเครื่องสำหรับรับจอง (Terminal)
หลักการทำงาน
1. โรงแรมจัดทำโครงสร้างราคาขายห้องพักของตนเองที่แบ่งเป็น
Rate Tier ของ Market Segment ต่างๆ
ที่ราคาขายสุทธิจะแตกต่างกันไป ใส่เข้าไปในระบบของ Channel Provider ที่ได้ทำการสัญญาตกลงกันไว้ (ต้องใส่ให้ถูก Rate Tier เพราะ ถ้าใส่ผิด ทางโรงแรมต้องเป็นผู้รับผิดชอบ) และตั้งค่ากำหนด
และเงื่อนไขต่างๆ ในการขาย พร้อมทั้งใส่ Allotment ห้องพักแต่ละชนิด
ที่เปิดขาย
2. Channel Provider ทำการเชื่อมต่อระบบไปกับระบบ
GDS สำหรับการรับจองห้องพัก ทุกระบบที่ให้บริการ (บางระบบ
มีให้บริการในบางภูมิภาคเท่านั้น)
3. Travel Agents หรือ Travel
Consultant ที่ใช้บริการเครื่อง Terminal ของระบบรับจองเหล่านี้
ให้บริการรับจองห้องพักให้แก่ลูกค้าของตนเอง
4. ลูกค้าผู้ใช้บริการจองห้องพัก
ให้ข้อมูลรายละเอียดบัตรเครดิตของตนเองแก่ Travel Agents หรือ
Travel Consultants เพื่อใช้ในการ Guarantee การจองห้องพัก โดยพนักงานผู้รับจองจะป้อนข้อมูลต่างๆ เข้าระบบ แล้วทำการจองและออกใบยืนยันการจองห้องพักตามที่ระบบ
GDS มี Allotment อยู่ให้กับลูกค้าได้ในทันที
โดยราคาขายนั้นเป็นราคาเดียวกันกับที่ทางโรงแรมกำหนด และป้อนเข้าสู่ระบบ
5. โรงแรมเก็บเงินจากบัตรเครดิตลูกค้าโดยตรงตามราคาที่ลูกค้าจองไว้
6. เมื่อครบกำหนดตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้
ทางโรงแรมต้องทำการชำระเงินค่าบริการให้แก่ Channel Provider, GDS System
Provider และ Travel Agents หรือ Travel
Consultant ตามยอดการเข้าพักจริงของลูกค้า (ในบางราย
แม้ลูกค้าจะไม่ได้เข้าพัก แต่ทางโรงแรมก็ต้องจ่ายค่าบริการ Transaction Fee
ให้กับ Channel Provider และ System
Provider แต่ทาง Travel Agents หรือ Travel
Consultant อาจจะไม่ได้รับ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดในสัญญาที่ตกลงกันไว้)
จะ เห็นได้ว่า
การจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง GDS นั้น
เป็นช่องทางการจำหน่ายไปยังกลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้บริการห้องพักโดยตรง
และครอบคลุมตลาดทั่วโลก
แต่การจัดจำหน่ายแบบนี้ก็มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงและไม่คุ้มค่า
ถ้าโรงแรมนั้นเป็นโรงแรมในเมืองที่ราคาค่าห้องพัก ไม่สูงนัก และ Length of
Stay (LOS) ต่อ 1 รายการจองต่ำ
แต่จะมีต้นทุนที่ต่ำและมีความคุ้มค่าสูง ถ้าเป็นการจองห้องพักของรีสอร์ทที่อัตราค่าห้องพักต่อคืนสูง
และ LOS ของแต่ละรายการจองที่ค่อนข้างยาว
5. Cloud Computing...............คือวิธีการประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้
โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบCloud Computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้อง
การผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากร
รวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา
โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่าการทำงานหรือเหตุการณ์เบื้องหลังเป็น Cloud หรือบางคนก็บอกว่า
Cloud Computing มันคืออะไร ค้นในเน็ตเจอคำแปลต่างๆ มากมาย
ส่วนใหญ่บอกว่า การประมวลผลบนก้อนเมฆ… ถ้าสำหรับแบบที่ผมคิดนะ
ผมว่าก็คือระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เรานี่แหละ แต่แทนที่จะต้องมาประมวลผล
หรือทำงานแบบเดิมคือทำบน PC แบบที่เราเคยใช้ๆกันอยู่มันจะย้ายไปทำงานผ่านพวก
WEB Browser บนโลกอินเตอร์เน็ต อาทิเช่น เดิม เราใช้ Microsoft Word, Excel, Power Point โดยเราต้องเปิด
PC แล้วรอมัน Windows มันบู๊ต
แล้วเราก็เลือกไอคอน โปรแกรม แล้วก็คลิ๊กเปิด แล้วก็ใช้งาน แต่ถ้าเป็น Cloud Computing หรือ Cloud Service คือเราเข้าอินเตอร์เน็ตให้ได้
และเราก็จะใช้งานโปรแกรมอะไรก็ตามแต่ ผู้ให้บริการบนโลกอินเตอร์เน็ต
เขาก็จะเตรียมไว้ให้เราแล้ว (แต่ถ้าเข้าอินเตอรเน็ตไม่ได้…ก็เกิดเรื่องกันละทีนี้) เอาให้ง่ายเข้าไปอีก
ลองคิดถึงแต่ก่อนเราอาจจะต้องใช้ Outlook หรือ Lotus Note ในการทำงานเพื่อเปิดเครือ่งเพื่อรับเมล์
เดี๋ยวนี้เราจะเห็น มี Google, Hotmail หรือ Yahoo ให้เราสามารถเช็คเมล์ได้ โดยเฉพาะ Google พี่ท่านกะล็อกทุกอย่าง
หรือครองโลกออนไลน์เลยก็ว่าได้ เดี๋ยวถ้าเรามี Domain
แล้วไม่ต้องการมี
Server หรือตั้งระบบ Mail
Server เราสามารถไปเช่าใช้บริการผูกเมล์เราเข้ากับระบบ Gmail ของ Google ได้อีกต่างหาก
Cloud Computing
อีกหน่อย
ในความคิดผมนะ เครื่อง PC หรือ Notebook ต่อไปเปิดมา อาจจะไม่ต้องเปิดผ่าน Windows เลยก็เป็นไปได้ คือเปิดขึ้นมากลายเป็น WEB OS เลย ก็คือแบบเปิดปุ๊บ เข้าอินเตอร์เน็ตทันที
อยากใช้โปรแกรมอะไรก็แค่ เรียก หรือเปิดใช้บริการเอา อาจจะมีทั้งแบบฟรี
หรือเสียเงินก็ว่ากันไป และแนวโน้มก็ค่อนข้างจะไปทางนั้นแหละผมว่า
เพราะเดี๋ยวนี้เราเริ่มมีอุปกรณ์พวก tablet หรือ มือถือ
ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าระบบอินเตอร์เน็ตได้แบบทันทีที่เปิดเครื่อง
และแนวโน้มของคนที่จะใช้ tablet นั้น
ผมขอเดาว่าอีกไม่นาน 1-2 ปีนี้
จะมีปริมาณที่มากกว่า PC หรือ Notebook กว่าในอดีตมาก
โดยเฉพาะอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ที่จะโตไวมาก เพราะมันชัดแล้วว่า
เทคโนโลยีจะไวขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และราคาก็จะถูกลงเรื่อยๆ ทำให้
สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้ทุกเพศ ทุกวัย
อันนี้ก็คือวีดีโอที่พอดีไปค้นเจอมา
โดยรายงานพิเศษจากรายการแบไต๋ไฮเทคที่สามารถจะอธิบายเรื่องของคำศัพท์แห่งยุค Cloud Computing ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างชัดเจน
ใครที่สนใจเทคโนโลยี server สมัยใหม่ต้องดู
อธิบายแบบไทยๆ ให้ดูเข้าใจง่าย (ขอบคุณ วีดีโอจากรายการ แบไต๋ไฮเทค ด้วยนะครับ)
ประโยชน์ของ cloud computing
-มีความคล่องตัว
ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลจาก Server ได้ตามต้องการ
มีความยืดหยุ่น
สามารถขยายหรือลดโครงสร้างพื้นฐานได้สะดวกและง่ายต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง
-Reduction in costs: มีต้นทุนที่ลดลงเนื่องจากผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้ง
Server ขนาดใหญ่ด้วยตนเอง
ลดภาระต้นทุนเกี่ยวกับการติดตั้งและบำรุงรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ประมวลผลขนาดใหญ่
-Freedom of Location : มีอิสระจากอุปกรณ์ และสถานที่
เพราะผู้ใช้สามารถเรียกดูข้อมูลได้จากทุกแห่งทั่วโลกที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้
-Scalability and speed : การขยายตัวเป็นแบบ (Scalability) สูง
สามารถเข้าถึงแพลทฟอร์มที่หลากหลายและความสามารถในการทำงานร่วมกับแพลทฟอร์มที่ยึดหยุ่นและมีศักยภาพด้วยโครงสร้างที่หลากหลาย
-มีความไว้วางใจ
(Reliability) สูงขึ้น
-มีความปลอดภัย
(Security) สูง เนื่องจากทุกๆ
โปรแกรมและไฟล์ทั้งหมดจะถูกเก็บอยู่ใน Supercomputer ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่หรือจัดเก็บอยู่ใน
Network ความเร็วสูง
-มีความยั่งยืน
(Sustainability) ซึ่งได้จากการใช้ทรัพยากรที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ
-Reduce run time and response time :
เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลของโปรแกรมประยุกต์
ทำให้โปรแกรมที่มีการคำนวณและประมวลผลที่ยุ่งยากและซับซ้อนสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น
-Enabling Innovation: ได้รับบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่เสมอ
-Ease of Use: ใช้งานง่าย
โดยเปรียบเหมือนเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
6. E-Tourism………….คือการใช้ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีในการท่องเที่ยวเพื่อช่วยให้การท่องเที่ยวเป็นเรื่องง่าย ในปัจจุบัน E-Tourism
ไม่ใช่เรื่องแปลกในระดับโลกอีกต่อไปเพราะธุรกิจท่องเที่ยว
บริษัททัวร์ต่างๆที่เป็นบริษัทระดับยักษ์ใหญ่ของโลกนั้นต่างใช้ E-Tourism ในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ได้ฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและทำให้การบริการด้านการท่องเที่ยวเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลกโดยผ่านอินเตอร์เน็ตออนไลน์
การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตได้ปฏิวัติวิถีการท่องเที่ยวแบบโบราณ โดยเฉพาะ การสืบค้นข้อมูล
ข้อหาสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมชั่น รวมถึงวางแผนการเดินทางล่วงหน้า
ให้ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ และยังสร้างสรรค์โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
ให้กับผู้ประกอบการได้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดมากขึ้น
แต่สำหรับประเทศไทยนั้น E-Tourism ยังคงเป็นเรื่องแปลกใหม่เพราะผู้ประกอบการและบริษัททัวร์ส่วนใหญ่ในไทยนั้น
ยังคงขาดความรู้และความเข้าใจในการใช้อินเตอร์เน็ตในการให้บริการด้านการท่องเที่ยวอยู่มาก
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกรวม 1,000
ล้านคน และ 80% ของคนจำนวนนี้ ใช้อินเตอร์เน็ตในการหาข้อมูลด้านการท่องเที่ยว อาทิ
แหล่งท่องเที่ยว โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และบริการด้านการท่องเที่ยวอื่นๆ ตลอดจน
การใช้บริการจองผ่านอินเทอร์เน็ต ด้วยระบบ E-Commerce ก็ตาม
ซึ่งส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร
7. Web blog…………คือ Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We
Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์
โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง
เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น
โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก
จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง
จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน
บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ
หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า
Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น
เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท
ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่
หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ
เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้
หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย
ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด
หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง
ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก
และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment
ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม
คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า
แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก
หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์
นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา
Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ
แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี
2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง
ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง
เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติและจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ ,
โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์
ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ใช้อย่างไร
1.หาเว็บที่ให้สามารถให้เช่า blog ได้
2.สมักรเป็นสมาชิกของเว็บนั้น
3.เมื่อเราเป็นสมาชิกแล้วก็สามารตกแต่ง blog ของเราได้
สรุป
เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกให้แก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ในรูปแบบออนไลน์ผ่านเครือข่ายสร้างเป็น e-Tourism ซึ่งสามารถเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวใช้สื่อออนไลน์
ทำธุรกรรมผ่านอินเตอร์เน็ต บนอุปกรณ์ที่หลากหลาย ได้แก่ คอมพิวเตอร์
เครื่องมือสื่อสาร iPhone iPads หรือตู้ Self Service
ในสถานที่ ทั้งนี้ทำให้ประหยัดเวลา
และค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ใช้บริการ และลดต้นทุนของผู้ประกอบการ
อีกทั้งช่วยเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ผ่านสื่อต่างๆ เช่น Facebook หรือ Twitter นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถใช้ Web
Blog เพื่อเผยแพร่ข้อมูล สร้างสรรค์ข้อมูล
ที่มีประโยชน์ต่อผู้ชมเว็บ ให้รับรู้ข่าวสาร
และข้อเท็จจริงเรื่องการท่องเที่ยวนอกเหนือจากที่ได้รับการเผยแพร่โดยองค์กรหรือบริษัทผู้ประกอบการอีกด้วย
โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้บริการผ่านระบบเครือข่าย Cloud Computing ที่มีให้บริการ SaaS พวกโปรแกรมสำหรับสร้างเว็บบล็อก
ไม่ว่าจะเป็น Blogger เป็นต้น Cloud Computing ยังมีประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้
CRS ในการตรวจสอบ และจองห้องพัก หรือระบบ GDS เพื่อตรวจสอบเที่ยวบิน สถานะเที่ยวบิน และจองตั๋วเดินทาง โดยเชื่อมโยงข้อมูลผ่านเครือข่ายได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
No comments:
Post a Comment